โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
 ศูนย์ศึกษาการพัฒนาหินซ้อน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ

ป่าหาย น้ำแห้ง ดินเลว ก็พัฒนาได้

     ระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสว่า เกี่ยวกับศูนย์ศึกษาการพัฒนาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ความว่า
"ประวัติมีว่าตอนแรกมีที่ดิน 264 ไร่ ที่ผู้ใหญ่บ้านให้เพื่อสร้างตำหนัก ในปี 2552 ที่เชิงเขาหินซ้อนใกล้วัดเขาหินซ้อนก็เลยถามผู้ที่ให้
ที่นั้นนะ ถ้าหากไม่สร้างตำหนัก แต่ว่าสร้างเป็นสถานที่ที่จะศึกษาเกี่ยวกับการเกษตรจะเอาไหม เขาก็บอกยินดี ก็เลยเริ่มทำในที่นั้น"
และทรงมีพระราชดำไว้เพื่อเป็นแนวทางการพัฒนา ดังนี้
   1) พัฒนาให้เป็นศูนย์ตัวอย่างด้านเกษตรกรรมที่สมบูรณ์แบบ
   2) พัฒนาพื้นี่รอบนอกศูนย์ศึกษาฯ ให้มีความเจริญขึ้นเป็นตัวอย่างแก่การพัฒนาพื้นที่อื่น ๆ ต่อไป
   3) ให้นำวิธีการที่ได้ผลมาแล้ว ถูกต้อง ประหยัดและเกิดประโยชน์สูงสุดำเนินการ
   ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราฃฃชดำริ ดำเนินการจัดตั้ง เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2522 นับเป็นศูนย์ศึกษาการพัฒนา
อันเนื่องมาจากพระราชดำริ แห่งแรกในจำนวน 6 ศูนย์ฯ ทั่วประเทศ ตั้งอยู่ที่อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา มีเนื้อที่รวม 1,895 ไร่



ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุล อันเนื่องมาจากพระราชดำริ

ระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัด ตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
ขึ้นเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2525 ตั้งอยู่ระหว่างบ้านพิกุลทอง และบ้านโคกสยา ตำบลกะลุวอเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส มีเนื้อที่
1,740 ไร่

จากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระราชทาน ณ พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2524
เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนา ความว่า " ..ด้วยพื้นที่่จำนวนมากในจังหวัดนราธิวาสเป็นที่ลุ่มต่ำ มีน้ำขังตลอดปี ดินมีคุณภาพต่ำ ซึ่งพื้น
ที่ทั้งหมดประมาณ 3 แสนไร่ เกษตรกรจำนวนมากไม่มีที่ทำกิน แม้เมื่อระบายน้ำออกจากพื้นที่หมดแล้ว ยังยากที่จะใช้ประโยชน์ทาง
การเกษตรให้ได้ผล ทั้งนี้เนื่องจากดินมีสารประกอบไพไรท์ ทำให้เกิดกรดกำมะถัน เมื่อดินแห้งทำให้ดินเปรี้ยว ควรปรับปรุงดินให้ดีขึ้น
ดังนั้น เห็นสมควรที่จะมีการปรับปรุงพัฒนา โดยให้มีหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเข้ามาดำเนินการศึกษาและพัฒนาพื้นที่พรุร่วมกันแบบ
ผสมผสาน และนำผลสำเร็จของโครงการไปเป็นแบบอย่างในการที่จะพัฒนาพื้นที่ดินพรุในโอกาสต่อไป...." การศึกษาพัฒนาได้ดำเนิน
การในหลากหลายสาขาวิฃาในลักษะบูรณาการโดยส่วนราชการต่าง ๆ
โครงการที่ประสบผลสำเร็จและมีการขยายผลการพัฒนา ได้แก่

- โครงการแกล้งดิน

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแนวทางในการศึกษาวิธีแก้ไขปัญหาดินเปรี้ยวจัด โดยริริ่มต้นจากการเร่งดินให้เป็นกรดจัด
จนถึงจุดที่ไม่สามารถปลูกพืชเศรษฐกิจใด ๆ ซึ่งวิธีการเร่งดินให้เป็นกรดจัดรุนแรงนี้ พระองค์ทรงเรียกว่า การแกล้งดิน หรือ การทำให้
ดินโกรธ จากนั้นจึงหาวิธีการปรับปรุงดินให้กลับมาใช้ประโยชน์
แล้วระบายออกควบคู่ไปกับการใช้หินปูนฝุ่นในปริมาณน้อยร่วมกับ
การใส่ปุ๋ยคอกและปุ๋ยเคมีสามารถปรับปรุงดินเปรี้ยวจัดได้อย่างดี
และได้นำมาใช้เพื่อปลูกพืชไร่ พืชผัก และยกร่องเพื่อการปลูกไม้ผล
ารศึกษาพบว่า การใช้น้ำล้างดินโดยขังน้ำไว้นาน 4 สัปดาห์
แล้วระบายออกควบคู่ไปกับการใช้หินปูนฝุ่นในปริมาณน้อยร่วมกับ
การใส่ปุ๋ยคอกและปุ๋ยเคมีสามารถปรับปรุงดินเปรี้ยวจัดได้อย่างดี
และได้นำมาใช้เพื่อปลูกพืชไร่ พืชผัก และยกร่องเพื่อการปลูก
- การปรับปรุงพื้นที่พรุ

พรุ เป็นพื้นที่ลุ่ม น้ำท่วมขัง ดินส่วนใหญ่เป็นดินอินทรีย์ ซึ่งเกิดจากการสลายตัวผุพังของซากพืชที่เน่าเปื่อยทับถมเป็นชั้นหนา
ถัดจากชั้นดินอินทรีย์ลงไปเป็นชั้นดินเลน ตะกอนทะเลที่มีสารไพไรต์สะสมอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งหากสัมผัสกับอากาศ จะปลด
ปล่อยกรดกำมะถันออกมาเป็นสาเหตุที่ทำให้ดินเปรี้ยว พื้นที่พรุในจังหวัดนราธิวาส มีเนื้อที่ 261,860 ไร่ เป็นพรุใหญ่ ๆ 2 แห่ง
คือ พรุบาเจาะ มีเนื้อที่ 52,736 ไร่ และพรุโต๊ะแดง มีเนื้อที่ 209,124 ไร่
ผลสำเร็จของการปรับปรุงพื้นที่ดินพรุ ทำให้สามารถใช้ประโยชน์
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งส่วนใหญ่เพื่อการปลูกข้าว ปาล์มน้ำมัน
และมีพื้นที่บางส่วนใช้ปลูกพืชอื่น ๆ เช่น ถั่วเขียว ข้าวโพด เป็นต้น


- พื้นที่ดินพรุหลังจากการ
ปรับปรุงใช้เพื่อการปลูกข้าว

- พื้นที่ดินพรุหลังจากการปรับ
ปรุงใช้เพื่อการปลูกปาล์มน้ำมัน

-โครงการเกษตรทฤษฏีใหม่

    โครงการเกษตรทฤษฏีใหม่ภายในพื้นที่ศูนย์ฯ ได้ดัดแปลงสัดส่วนการใช้ที่ดินของที่อยู่อาศัย - แหล่งน้ำนาข้าว -พืชไร่ พืชสวน จากสูตร
10-30-30-30 เป็น 120-20-30-40 โดยลดขนาดพื้นที่แหล่งน้ำลง เพิ่มพื้ที่ปลูกไม้ผลตามความถนัดของเกษตรกร มีการปรับปรุง
ดินเปรี้ยวจัด โดยการใส่ปินปูนฝุ่น ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ลดการใช้สารเคมี

การพัฒนาที่ดินโครงการหลวง

ูนย์ปฏิบัติการพัฒนาที่ดินโครงการหลวง สำนักงานพัฒนาที่ดินเขต 6 ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2520 มีพันธกิจหลักในการสนับสนุนการดำเนิน
งานร่วมกับมูลนิธิโครงการหลวง ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน พะเยา และแม่ฮ่องสอน ในพื้นที่ 38 ศูนย์พัฒนาโครงการหลวง
มีพื้นที่จำนวน 1,7778,266 ไร่ โดยศูนย์ฯให้การสนับสนุนด้านกำหนดเขตการใช้ที่ดิน การพัฒนาพื้นที่ด้วยวิธีอนุรักษ์ดินและน้ำ การพัฒนา
โครงการสร้างพื้นฐาน เช่น ก่อสร้างระบบการการใช้น้ำชลประทาน ก่อสร้างเส้นทางลำเลียงภูเขา และก่อสร้างโรงเรือนเพื่อผลิตพืชผักฯ

ผลสำเร็จของกรมพัฒนาที่ดินของศูนย์ปฏิบัติการฯ ตั้งแต่ พ.ศ. 2520 - 2553
กิจกรรมวางแผนพัฒนาที่ดิน และก่อสร้างระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ รวม 114,103 ไร่
 
การก่อสร้างแบบขั้นบันไดต่อเนื่อง การก่อสร้างแบบคันดินแบบน้ำ อาคารชะลอความเร็วของน้ำ
โครงการทุ่งกุลาร้องไห้

ครงการพัฒนาพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ เป็นโครงการพัฒนาพื้นที่ขนาด 2.1 ล้านไร่ โดยปัญหาของพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ในขณะนั้นพบว่าประชาชนกว่า
400,000 คน ประสบปัญหาด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น ดินเค็ม การเกิดน้ำท่วมที่รุนแรง การขาดแคลน้ำในช่วงฤดูเพาะปลูก
การขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐาน ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจสังคม แลปัญหาสิทธิการถือครองที่ดินทำกิน ตลอดจนปัญหาขาดการถ่ายทอดเทคโน
โลยีด้านการเกษตร ทำให้มีผลกระทบต่อการประกอบอาชีพและการผลิตทางการเกษตร เป็นสาเหตุให้ราษฏรในพื้นที่มีฐานะความเป็นอยู่ยากจน
รัฐบาลโดยกรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เข้าดำเนินการสำรวจและวางแผนการใช้ที่ดินเพื่อการพัฒนาการเกษตรกรรมในเนื้อ
ที่ 2.1ล้านไร่ในปี พ.ศ. 2514 : ซึ่งต่อมาได้นำโครงการพัฒนาทุ่งกุลาร้องไห้เสนอต่อคณะรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีได้มีมติรับหลักการตามที่
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2519
การดำเนินการพัฒนาพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การพัฒนาที่ดิน ประมง และปศุสัตว์ ฯลฯ โดยหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องและ
องค์กรต่าง ๆ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้ราษฏร์กว่า 600,000 คน ใน 1,048 หมู่บ้าน ในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ได้มีรายได้ต่อหัว
เพิ่มขึ้น ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น สามารถเพิ่มผลผลิตข้าวหอมมะลิเพิ่มขึ้นจากเดิม 2 เท่าตัวในแต่ละปี และสามารถทำการผลิตในระดับนี้ได้ทุก
4 ใน 5 ปี จากเดิมที่จะผลิตได้ทุก ๆ 1 ใน 5 ปี




พื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ก่อนการพัฒนา


พื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้หลังการพัฒนา


- การปรับปรุงพื้นที่นา (Land Renideling) - การจัดการน้ำเพื่อใช้ในการชลประทาน